สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) นับเป็นพระเกจิเถราจารย์ผู้มีปฏิปทาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพนับถือทั่วไปมาตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน และนอกจากจริยาวัตรด้านความสมถะอันโดดเด่นของท่านแล้ว ท่านยังทรงคุณทางด้านวิชชาคาถาอาคม เมตตามหานิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุมงคล "พระสมเด็จ" ที่ท่านได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา ได้ถูกจัดเข้าในพระเครื่องเบญจภาคี หรือสุดยอดของพระเครื่องวัตถุมงคล 1 ใน 5 ของประเทศไทย และมีราคาซื้อขายในปัจจุบันต่อองค์เป็นราคานับล้านบาท ด้วยปฏิปทาจริยาวัตรและคุณวิเศษอัศจรรย์ของท่าน ทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นอมตะเถราจารย์รูปหนึ่งของ เมืองไทย และมีผู้นับถือจำนวนมากในปัจจุบัน
ประวัติ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 (หลังสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ได้แล้ว 7 ปี[4]) ณ บ้านไก่จ้น (ท่าหลวง) อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จุลศักราช 1150 เวลาพระบิณฑบาต (ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331) ที่บ้านท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
มารดาบิดาของท่านเป็นใครไม่ทราบแน่ชัด มีผู้กล่าวประวัติของท่านในส่วนนี้แตกต่างกันไปหลายสำนวน เช่น ฉบับของพระยาทิพโกษา กล่าวว่า มารดาของท่านชื่อนางงุด บุตรของนายผลกับนางลา ชาวนาเมืองกำแพงเพชร1 หรือฉบับของพระครูกัลยาณานุกูล (เฮง อิฏฐาจาโร) กล่าวว่า มารดาของท่านชื่อเกตุ คนท่าอิฐ อำเภอบางโพ อย่างไรก็ดีมารดาของท่านนั้นเป็นชาวเมืองเหนือ (คำเรียกในสมัยอยุธยา) 2 เพราะทุกแหล่งอ้างอิงกล่าวตรงกันว่ามารดาของท่านเป็นชาวเมืองเหนือแต่ได้ลง มาทำมาหากินแถบภาคกลางในช่วงหลัง3
สำหรับบิดาของท่านนั้น สำนวนของพระยาทิพโกษา กล่าวว่าท่านเป็นโอรสนอกเศวตฉัตรของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครั้งทรงพระยศเป็น เจ้าพระยาจักรี ส่วนฉบับของพระครูกัลยาณานุกูล และฉบับของตรียัมปวายกล่าวว่าท่านเป็นพระโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ หล้านภาลัย และแม้ในสำนวนของตรียัมปวายจะมีข้อสันนิษฐานเพื่อยืนยันหลายข้อ แต่อย่างไรก็ตาม ประวัติทั้งสองสำนวนกล่าวตรงกันเพียงว่า ข้อสันนิษฐานว่าด้วยบิดาของท่านนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าซึ่งชาวบ้านในสมัย นั้นกล่าวและเชื่อกันโดยทั่วไป
บรรพชาและอุปสมบท
เมื่อถึงวัยพอสมควรแล้ว ได้บรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา เมื่อ พ.ศ. 2343 ต่อมาปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงโปรดและเมตตาสามเณร โตเป็นอย่างยิ่ง ครั้นอายุครบอุปสมบทปี พ.ศ. 2350 จีงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปสมบทเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายานามในพุทธศาสนาว่า "พฺรหฺมรํสี" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระภิกษุโตรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์
จริยาวัตร
ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงสถาปนาสมณศักดิ์เพื่อยกย่องใน กิตติคุณและเกียรติคุณของพระภิกษุโต แต่พระภิกษุโตไม่ยอมรับ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าท่านมีอุปนิสัยไม่ปรารถนายศศักดิ์หรือลาภสักการะใดๆ ทั้งสิ้น อนึ่ง แม้พระภิกษุโตได้ศึกษาพระธรรมวินัยแตกฉาน แต่ด้วยอุปนิสัยดังกล่าวข้างต้น ท่านจึงไม่ยอมเข้าแปลหนังสือเพื่อเป็นพระภิกษุชั้นเปรียญเช่นกัน
ต่อมากล่าวกันว่า พระภิกษุโตได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และได้สร้างปูชนียสถานในที่ต่างๆ กัน เช่น สร้างพระพุทธไสยาศน์ไว้ที่วัดสตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างพระพุทธรูปหลวงพ่อโต วัดไชโย จังหวัดอ่างทอง เป็นต้น ซึ่งปูชนียสถานทุกแห่งที่ท่านสร้างจะมีขนาดใหญ่โตสมกับชื่อของพระภิกษุโต อยู่เสมอ การจะสร้างปูชนียสถานขนาดใหญ่เช่นนี้ล้วนแต่ต้องใช้ทุนทรัพย์และแรงงานจำนวน มากในการก่อสร้างจึงจะทำได้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความศรัทธาและบารมีของพระภิกษุโต ซึ่งเป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนในย่านที่ท่านได้ธุดงค์ผ่านไปอย่าง ชัดเจน
สมณศักดิ์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงโปรดปรานพระภิกษุโตเป็นอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 2395 พระองค์จึงได้พระราชทานสมณศักดิ์ถวายพระภิกษุโตเป็นครั้งแรก โดยมีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ราชทินนาม "พระธรรมกิติ" และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ขณะนั้นท่านอายุ 65 ปี โดยปกติแล้วพระภิกษุโตมักพยายามหลีกเลี่ยงการรับพระราชทานสมณศักดิ์ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ท่านต้องยอมรับพระราชทานสมณศักดิ์ในที่สุด อีก 2 ปีต่อมา (พ.ศ. 2397) ท่านจึงได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ ในราชทินนาม "พระเทพกวี" หลังจากนั้นอีก 10 ปี (พ.ศ. 2407) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ ในราชทินนาม "สมเด็จพระพุฒาจารย์" มีนามจารึกตามสุพรรณบัฏว่า
" สมเด็จพระพุฒาจารย์ เอนกปรีชา วิสุทธศีลจรรยาสมบัติ นิพัทธุตคุณ สิริสุนทร พรตจาริก อรัญญิกคนฤศร สมณนิกรมหาปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลศีลขันธ์ ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร พระอารามหลวงฯ" สมณศักดิ์ดังกล่าวนี้นับเป็นสมณศักดิ์ชั้นสูงสุดและเป็นชั้นสุดท้ายที่ท่าน ได้รับตราบจนกระทั่งถึงวันมรณภาพ คนทั่วไปนิยมเรียกท่านว่า "สมเด็จโต" หรือ "สมเด็จวัดระฆัง" ส่วนคนในยุคร่วมสมัยกับท่านเรียกท่านว่า "ขรัวโต"
พระคาถาชินบัญชร
ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วระลึกถึงเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรํสี)และตั้งคำอธิษฐานว่า
ปุตฺตกาโม ลเภ ปุตฺตํ ธนกาโม ลเภ ธนํ อตฺถิกาเย กาย ญาย เทวานํ ปิยตํ สุตวา (ภายหลังได้มีผู้นำบทบูชาท้าวเวสสุวรรณมาต่อเติม ซึ่งแต่เดิมมิได้มีอยู่ในบทของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี))
“อิติปิโส ภควา ยมราชาโน ท้าวเวสสุวณฺโณ มรณํ สุขํ อรหฺ สุคโต นโมพุทฺธาย”
บทสวด | คำแปล |
๑.ชยาสนาคตา พุทฺธา เชตวามารํสวาหนึ จตุสจฺจาสภํรสํ เย ปิวึสุ นราสภา |
พุทธะทั้งหลายทรงชนะมารพร้อมทั้งเสนา พาหนะ เสด็จสู่พระที่นั้งแห่งชัยชนะแล้ว พระพุทธะใดเล่า ทรงเป็นผู้ประเสริฐแห่งนรชน ทรงดื่มอมตรสแห่งสัจจะทั้งสี่แล้ว |
๒.ตณฺหํกราทโยพุทฺธา อฏฺฐวีสติ นายกา สพฺเพปติฏฺฐิตามยฺหํ มตฺถเก เต มุนิสฺสรา |
พระพุทธะทั้งหลาย ๒๘ พระองค์ มีพระตัณหังกรเป็นต้น ทรงเป็นพระนายกผู้นำโลก พระมุเนศวรจอมมุนี ทุกพระองค์นั้น ทรงสถิตประทับบนกระหม่อมแห่งข้าพเจ้า |
๓.สีเส ปติฏฺฐิโต มฺยหํ พุทฺโธ ธมฺโม ทวิโลจเน สงฺโฆ ปติฏฺฐิโตมยฺหํ อุเร สพฺพคุณากโร |
พระพุทธะทั้งหลาย ทรงสถิตประทับบนศีรษะ พระธรรม สถิตประทับที่ดวงตาของข้าพเจ้า พระสงฆ์ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งคุณทั้งปวง สถิตประทับที่อุระของข้าพเจ้า |
๔.หทเย เม อนุรุทฺโธ สารีปุตฺโต จ ทกฺขิเณ โกณฺฑญฺโญ ปิฏฐิภาคสฺมึ โมคฺคลฺลาโน จ วามเก |
พระอนุรุทธประทับที่หทัย พระสารีบุตรประทับที่เบื้องขวา พระโกณฑัญญะประทับที่เบื้องหลัง พระโมคคัลลานะประทับที่เบื้องซ้าย |
๕.ทกฺขิเณ สวเน มยฺหํ อาสุํ อานนฺทราหุลา กสฺสโป จ มหานาโม อุภาสุํ วามโสตะเก (หรือ ทกฺขิเณ สวเน มยฺหํ อาสุํ อานนฺทราหุโล ในบางฉบับ เนื่องจาก อาสุํ เป็นพหุพจน์ ดังนั้นคำว่า อานนฺทราหุลา จึงต้องเป็นพหุพจน์ด้วย จึงจะไม่ผิดไวยากณ์ ) |
พระอานนท์และพระราหุล ประทับที่หูเบื้องขวาของข้าพเจ้า ประกัสสปะและพระมหานามะ ทั้งสองประทับที่หูเบื้องซ้าย |
๖.เกสนฺเต ปิฏฺฐิภาคสฺมึ สุริโยว ปภํกโร นิสินฺโน สิริสมฺปนฺโน โสภิโต มุนิปุํคโว |
พระโสภิตผูเป็นมุนีที่แกล้วกล้า ถึงพร้อมด้วยสิริ เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่าง ประทับที่สุดผมส่วนเบื้องหลัง |
๗.กุมารกสฺสโป เถโร มเหสีจิตฺตวาทโก โส มยฺหํ วทเนนิจฺจํ ปติฏฺฐาสิคุณากโร |
พระเถระผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้มีวาทะอันวิจิตร ชื่อกุมารกัสสป ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งคุณนั้น ประทับที่ปากของข้าพเจ้าเป็นนิตย์ |
๘.ปุณฺโณ องฺคุลิมาโล จ อุปาลี นนฺทสีวลี เถรา ปญฺจ อิเม ชาตา นลาเฏ ติลกา มม |
พระเถระห้าพระองค์เหล่านี้ คือ พระปุณณะ พระองคุลิมาล พระอุบาลี พระนันทะ พระสีวลี เกิดเหมือนอย่างดิลก (รอยเจิม) ที่หน้าผากของข้าพเจ้า |
๙.เสสาสีติ มหาเถรา วิชิตา ชินสาวกา ♦ เอตาสีติ มหาเถรา ชิตวนฺโต ชิโนรสา ชลนฺตา สีลเตเชน องฺคมํเคสุ สณฺฐิตา |
พระมหาเถระทั้งหลาย ๘๐ ที่เหลือจากนี้ ผู้ชนะ ผู้เป็นสาวกของพระสาวกของพระพุทธะผู้ทรงชนะ ๑ รุ่งเรืองอยู่ด้วยเดชแห่งศีล สถิตอยู่ที่องคาพยพทั้งหลาย |
๑๐.รตนํ ปุรโต อาสิ ทกฺขิเณ เมตฺตสุตฺตกํ ธชคฺคํ ปจฺฉโต อาสิ วาเม องฺคุลิมาลกํ |
พระรตนสูตรประจุอยู่เบื้องหน้า พระเมตตสูตรประจุอยู่เบื้องขวา พระธชัคคสูตรประจุอยู่เบื้องหลัง พระอังคุลิมาลสูตรประจุอยู่เบื้องซ้าย |
๑๑.ขนฺธโมรปริตตญฺจ อาฏานาฏิยสุตฺตกํ อากาเสฉทนํ อาสิ เสสา ปาการสณฺฐิตา |
พระขันธปริตร พระโมรปริตร และพระอาฏานาฏิยสูตร เป็นเหมือนอย่างฟ้าครอบ พระสูตรปริตรทั้งหลายที่เหลือ กำหนดหมายเป็นปราการ |
๑๒.ชินาณาวรสํยุตฺตา สัตฺต ปาการลํกตา วาตปิตฺตาทิสญฺชาตา พาหิรชฺฌตฺตุปทฺทวา (หรือ ชินานานาวรสํยุตฺตา สัตฺต ปาการลํกตา ในบางฉบับ เนื่องจาก ชินาณา เกิดจาก ชิน + อาณา โดย อาณา แปลว่า “อำนาจ” และหากพิมพ์เป็น ชินานานา จะไม่สามารถแปลความหมายได้) |
เมื่อข้าพเจ้าอาศัยอยู่ด้วยกิจทั้ง ๔ อย่าง ในบัญชรแห่งพระสัมพุทธะ ประกอบด้วยลานเขต แห่งอาณาอำนาจ แห่งพระพุทธะผู้ทรงชนะ ประดับด้วยปราการคือพระธรรมทุกเมื่อ |
๑๓.อเสสา วินยํ ยนฺตุ อนนฺตชินเตชสา วสโต เม สกิจฺเจน สทา สัมฺพุทฺธปัญฺชเร |
ขออุปัทวะ (เครื่องขัดข้อง) ทั้งภายนอก ทั้งภายใน ทั้งหลาย ที่เกิดจากลมและน้ำดีเป็นต้น จงถึงความสิ้นไป ไม่มีเหลือ ด้วยเดชแห่งพระชินะผู้ไม่มีที่สุด |
๑๔. ♦♦ ชินปญฺชรมชฺฌมฺหิ วิหรนฺตํ มหีตเล สทา ปาเลนฺตุมํสพฺเพ เต มหาปุริสาสภา |
ขอพระมหาบุรุษ ผู้เลิศกล้าทั้งหลายทั้งปวงนั้น โปรดอภิบาลแก่ข้าพเจ้า ผู้สถิตในท่ามกลางแห่งพระชินบัญชร อยู่บนพื้นแผ่นดิน |
๑๕. อิจฺเจวมนฺโต สุคุตฺโต สุรกฺโข ชินานุภาเวน ชิตุปทฺทโว ธมฺมานุภาเวน ชิตาริสํโค สงฺฆานุภาเวน ชิตนฺตราโย สทฺธมฺมานุภาวปาลิโต จรามิ ชินปญฺชเรติ |
ข้าพเจ้ามีความรักษาดี โดยทำให้ครบถ้วนทุกทางอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ ขอจงชนะอุปัทวะ ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธะผู้ทรงชนะ ชนะข้าศึกขัดข้อง ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ชนะอันตรายทั้งปวงด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ อันอานุภาพแห่งพระสัทธรรมอภิบาล ประพฤติอยู่ในชินบัญชรเทอญ ฯ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น